คุณอยู่ที่

ทำไมเว็บไซต์ต้องเข้าถึงได้? สรุปประเด็นจากการเข้าร่วมDigital inclusion workshop จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่าย

1.0x

ปรับขนาดตัวอักษร

-A A +A
รูปภาพของ Akkaradech
เขียนโดย Akkaradech เมื่อ จันทร์, 10/06/2025 - 16:21
Share
ภาพไอคอนเดี่ยวสีดำ รูปแว่นตาทรงกลม มีขาแว่นอยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง ตัวแว่นดีไซน์เรียบง่าย ไม่มีรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม พื้นหลังโปร่งใส สื่อถึง "เว็บไซต์ที่เข้าถึงได้"

สรุปประเด็นจากการเข้าร่วมDigital inclusion workshop การอบรมเสริมทักษะการเข้าถึงเว็บไซต์ จัดโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และภาคีเครือข่าย โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

หากจะพูดถึง "เว็บไซต์" (Website) ในปี 2025 แล้ว ผมว่าคงไม่มีใครที่ไม่ใช้งานและไม่รู้จักใช่มั้ยครับ แต่ก็ใช่ว่าทุกเว็บที่ Screen reader ของคนตาบอดจะเข้าถึงและใช้งานได้จริง อย่างเว็บ Major cineplex ปัจจุบันก็ยังเลือกที่นั่งด้วยตัวเองไม่ได้เลย หรือแม้แต่เว็บไซต์ของส่วนราชการหลายหน่วยงานเอง ก็ใช่ว่าจะดี ซึ่งปัญหาการเข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์เนี่ย เอาจริงไม่ได้เป็นปัญหาแค่กับคนตาบอด หรือคนพิการที่เป็นกลุ่มเฉพาะนะครับ มันคือปัญหาของคนทุกคนเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเว็บไซต์นั้นไม่ได้ถูกออกแบบให้มีมาตรฐานที่เข้าถึงได้กับคนทุกคนแต่แรก ถ้าวันนึง คนทั่วไป ที่ไม่มีปัญหาอะไร มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ เกิดสายตาเสื่อม หูไม่ค่อยดี หรือเกิดอุบัติเหตุใดๆ ที่เป็นเหตุให้ต้องเผชิญความพิการ วันนั้นแหละ คุณถึงจะเห็นว่ามันสำคัญ ซึ่งก่อนจะถึงวันนั้น การป้องกันไว้ดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง มันย่อมดีกว่าใช่มั้ยครับ และในโพสต์นี้ ผมจะเล่าให้อ่านกันว่า ทำไม? เราถึงควรตระหนักรู้และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

แต่ก่อนอื่น ขอเซตฐานความรู้ให้ทุกคนก่อนซักเล็กน้อย โดยจะไล่เรียง timeline เวลาจากอดีต จนถึงปัจจุบัน จะได้เห็นภาพเดียวกันครับ

จุดกำเหนิดของเว็บไซต์

  • มีนาคม 1989: เซอร์ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี (Sir Tim Berners-Lee) เสนอแนวคิด World Wide Web ฉบับแรก
  • ธันวาคม 1990: เว็บเบราว์เซอร์, เว็บไซต์ และเว็บเซิร์ฟเวอร์แรกของโลกถูกสร้างขึ้น
  • 6 สิงหาคม 1991: เว็บไซต์แรกของโลกคือ info.cern.ch เปิดให้สาธารณชนเข้าถึงได้
  • เมษายน 1993: CERN ประกาศให้ World Wide Web เป็นสาธารณสมบัติ ทำให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ฟรี
  • ตุลาคม 1994: เซอร์ทิม เบอร์เนิร์ส-ลี ก่อตั้ง World Wide Web Consortium (W3C) ที่สถาบัน MIT ในสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานสำหรับเว็บ
  • พฤษภาคม 1999: W3C เผยแพร่มาตรฐาน WCAG 1.0 ซึ่งเป็นแนวทางฉบับแรกสำหรับเนื้อหาบนเว็บที่ทุกคนเข้าถึงได้
  • ธันวาคม 2008: มีการเผยแพร่ WCAG 2.0 ซึ่งมีหลักการที่ครอบคลุมและเป็นสากลมากขึ้น โดยยึดตาม 4 หลักการ ซึ่งจะเล่าต่อไปด้านล่าง
  • มิถุนายน 2018: มีการเผยแพร่ WCAG 2.1 เพื่อรองรับการใช้งานบนอุปกรณ์พกพาและเทคโนโลยีใหม่ๆ
  • ตุลาคม 2023: มีการเผยแพร่ WCAG 2.2 ซึ่งมีการเพิ่มเกณฑ์ความสำเร็จใหม่เพื่อปรับปรุงการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น

จาก timeline ด้านบน เราสรุปได้สั้นๆว่า เซอร์ทิม นอกจากจะเป็นคนคิดค้นหลักการ และประดิษฐ์เว็บไซต์แล้ว ยังตั้งองค์กรเพื่อออกแบบมาตรฐานในการทำเว็บไซต์ โดยให้องค์กรนั้น กำหนดมาตรฐาน WCAG ให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งจะสังเกตได้จากการปรับปรุง WCAG ออกมาเรื่อยๆด้วย

แล้ว WCAG คืออะไร

WCAG ย่อมาจาก Web Content Accessibility Guidelines เป็นแนวทางที่กำหนดขึ้นเพื่อให้เนื้อหาบนเว็บสามารถเข้าถึงและใช้งานได้โดยคนพิการและผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานเทคโนโลยีนั่นเองครับ ซึ่งใน WCAG 2.0 ที่เป็นแนวทางหลัก กำหนดหลักการไว้ 4 ข้อ ที่คนพัฒนาเว็บไซต์ต้องคำนึงถึง ได้แก่

  1. การรับรู้ (Perceivable): ข้อมูลและส่วนประกอบของอินเทอร์เฟซต้องสามารถนำเสนอให้ผู้ใช้รับรู้ได้ เช่น การใช้สีที่มีความเปรียบต่างสูง, การมีคำอธิบายภาพ (alt text) สำหรับรูปภาพ, หรือการมีคำบรรยายวิดีโอ (captions)
  2. การใช้งาน (Operable): ส่วนประกอบของอินเทอร์เฟซและระบบนำทางต้องสามารถใช้งานได้ง่าย เช่น การทำให้แอปพลิเคชันรองรับการใช้งานด้วยคีย์บอร์ดเพียงอย่างเดียว (keyboard navigation)
  3. ความเข้าใจ (Understandable): ข้อมูลและส่วนประกอบของอินเทอร์เฟซต้องสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น การใช้ภาษาที่เรียบง่าย, การมีคำแนะนำการใช้งานที่ชัดเจน
  4. ความเสถียร (Robust): เนื้อหาต้องมีความเสถียรพอที่จะถูกตีความได้อย่างน่าเชื่อถือโดยหลากหลายผู้ใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (assistive technologies) ด้วย

จาก 4 ข้อนี้ เราเรียกรวมกันว่า หลักการ "POUR" ซึ่งตามมาตรฐาน WCAG ก็จะมีแนวทางและหัวข้อย่อยๆลงไปสำหรับนักพัฒนาเว็บที่ต้องทำ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานอีก โดยมาตรฐานก็จะกำหนดไว้เป็นลำดับขั้น กล่าวคือ ถ้าทำได้ประมาณนี้ ถือว่ามาตรฐาน WCAG ระดับ A แต่ถ้าทำเพิ่มมากขึ้น ก็อาจจะได้ระดับ AA เลยก็ได้ ยิ่งมาตรฐานสูง ก็หมายความว่า ผู้ใช้งานย่อมเข้าถึงและใช้งานได้จริงสูงขึ้นเท่านั้น

แล้วมาตรฐาน WCAG สำคัญกับผู้ใช้งานเว็บไซต์ยังไง

จริงอยู่ ที่มาตรฐาน WCAG ทำมาไว้สำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ แต่เนื่องจาก WCAG เป็นเพียงคู่มือ ไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย ใครไม่ทำตามก็ไม่ผิด เว้นแต่ประเทศนั้นจะมีการออกกฎหมายสั่งให้ต้องทำตามอีกที จึงสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วไปอย่างเราๆ จะต้องมีความรู้เรื่องนี้ เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบว่า เว็บไซต์สามารถเข้าถึงและใช้งานได้จริงหรือไม่ ตรงตามมาตรฐานหรือไม่ ถ้าเว็บไซต์เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง เราก็ต้องมั่นใจว่า ช่างจะสร้างบ้านที่สามารถใช้งานได้จริง ไม่ใช่ตอนแก่ตัวลง ค่อยมาทำทางลาด ทำราวบันไดเพิ่ม ซึ่งมันคือต้นทุนที่ต้องจ่ายมหาศาล เพราะนอกจากจะจ่ายค่าทำทางลาด ทำราวบันไดเพิ่ม ก็อาจจะต้องมีค่ารื้อถอนอีก ดังนั้น จะดีกว่ามั้ย ถ้าบ้านหลังนี้ จะต้องมีทางลาด มีราวบันได ไว้สำหรับคนสูงอายุ ตั้งแต่ตอนสร้างเสร็จครั้งแรก นี่จึงจะเรียกได้ว่า "การสร้างขึ้นเพื่อคนทุกกลุ่ม"

ปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญกับ WCAG มากน้อยแค่ไหน

ในประเทศเรา ยังไม่ได้มีการกำหนดกฎหมายว่าต้องปฏิบัติตาม WCAG โดยตรง แต่มีการนำแนวทางของ WCAG มาปรับใช้เป็น มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ ซึ่งกำหนดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างไรก็ตาม ผมมองว่า มันก็ยังคงเป็นการเน้นความสมัครใจอยู่ดี ซึ่งถ้าจะเทียบกับต่างประเทศ เราจะเห็นความแตกต่างได้ชัดขึ้น และนี่เป็นข้อมูลเพียงบางส่วนที่ผมเอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง

  • สหภาพยุโรป (EU) มีคำสั่ง Web Accessibility Directive ที่กำหนดให้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนมือถือของหน่วยงานภาครัฐในประเทศสมาชิกต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน WCAG 2.1 ระดับ AA นอกจากนี้ ยังมี European Accessibility Act ที่จะบังคับใช้กับธุรกิจภาคเอกชนหลายประเภทด้วย
  • แคนาดา มีกฎหมาย Accessible Canada Act ที่กำหนดให้เว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องปฏิบัติตาม WCAG 2.0 ระดับ AA
  • ออสเตรเลีย มีกฎหมาย Disability Discrimination Act of 1992 มีผลบังคับใช้กับเว็บไซต์ภาครัฐและกำหนดให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน WCAG
  • อิสราเอล มีกฎหมาย Equal Rights of Persons with Disabilities Law กำหนดให้เว็บไซต์ของภาครัฐและธุรกิจที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องปฏิบัติตาม WCAG 2.0 ระดับ AA

จะเห็นได้ว่า ประเทศที่เรามองว่าเขาออกแบบทุกอย่างได้ดี จนทำให้คนทุกคนเข้าถึงและใช้งานได้นั้น มีกฎหมายหรือคำสั่งจากภาครัฐออกมาบังคับใช้จริงจังมาก ถ้าไม่ทำตาม อาจมีบทลงโทษ เช่น เสียค่าปรับ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศระบุไว้ ซึ่งขัดกับประเทศไทยเรา ที่ใช้การขอความร่วมมือ การเจรจา เน้นขอความสมัครใจกับหน่วยงาน ซึ่งข้อเสียมันคือ ปัญหาไม่ได้แก้ตรงจุด

ลองนึกภาพแอพธนาคารก็ได้ครับ แอพไหนพัง ก็แจ้งเข้าสมาคมเป็นตัวกลางประสานงาน เคลียร์ให้เป็นรายกรณีไป ซักพักก็กลับมาเป็นปัญหาอีกละ มู้ฟออนเป็นวงกลมไปไม่รู้จบ และทุกครั้งที่มีการจัดอบรม หรือเสวนากัน ก็จะมีคำถามยอดฮิตว่า "เราจะมีวิธีการโน้มน้าวใจยังไง ให้เขาอยากทำตาม" ซึ่งไม่ได้ช่วย

ส่งท้าย

ขอปิดท้ายแบบนี้ละกันครับ บางที การจะพูดโน้มน้าว หรือเจรจาให้ใคร หรือหน่วยงานใดยอมรับ และปฏิบัติตามมาตรฐานที่มีอยู่ เราก็ต้องยอมรับว่ามันหลากความคิด หลายมุมมอง ต้องลุ้นเป็นเรื่องๆ ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่สื่อมั้ย แต่ถ้าเรามี "กฎหมาย" เป็นตัวบังคับชัดเจน ไม่ทำตามมีความผิด มีบทลงโทษ ก็อาจจะไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยที่เกิดเป็นคนพิการในประเทศไทยก็ได้

พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 นับถึงปีนี้ก็ใช้มาได้ 18 ปีแล้ว ถึงเวลาหรือยัง ที่จะต้องแก้ไขให้เหมาะสม เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันที่เทคโนโลยีไปเร็วกว่ากฎหมาย จะเป็นไปได้มั้ย ถ้าเราจะเอากฎหมาย ADA Americans with Disabilities Act มาใช้เป็นกรอบเพื่อการออกกฎหมายใหม่ให้สอดคล้องและรัดกุมมากขึ้น หรือในท้ายที่สุดแล้ว... เราจะวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ขอความร่วมมือเป็นกรณีไป อบรม สัมมนา ทำวิจัย/คู่มือ สารพัดที่จะทำ จัดอบรมเพื่อให้คนพิการได้ระบายปัญหาบ้าง และเสียงจากคนพิการก็สิ้นสุดไปพร้อมกับวงเสวนานั่นแหละ ความเห็นส่วนตัวนะครับ เราไม่สามารถโน้มน้าวทุกคนให้ทำตามสิ่งที่เราต้องการได้หรอก แต่กฎหมายสั่งได้แน่นอน เพราะพื้นฐานสังคมที่ดี ผมว่ามาจากกฎหมายที่เข้มแข็ง แล้วทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ละครับ... คิดยังไงกันบ้าง?

อ้างอิง


ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด

แสดงความคิดเห็น