
บทความที่แล้วเราได้เขียนถึง มุมมองคนตาดีที่มีเพื่อนเป็นคนตาบอด กันไปแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่เราได้ข้อมูลจากเพื่อนตาบอดก็คือการถูกกระทำที่หยามหมิ่นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จากคนตาดีบางคน หรือพูดสั้นๆ คือการดูถูกนั่นเอง เกิดมาตาบอดก็แย่พออยู่แล้ว แต่ทำไมพวกเขาต้องมาประสบพบเจอกับคำพูดที่ทำร้ายจิตใจกันอีก ถ้าจะถามว่าเรื่องนี้สำคัญมากพอมั้ย? ที่จะหยิบยกมาเป็นประเด็นเราว่าสำคัญแน่นอน เพราะว่ามันส่งผลถึงทัศนคติ อารมณ์ และความรู้สึก ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งถ้าต้องเจอกับการดูถูก กลั่นแกล้ง มาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อถึงเวลาต้องเข้ารับการศึกษาที่สูงขึ้น นั่นคือการเปลี่ยนสถานที่เรียนต้องมีการปรับตัวกับสถานที่ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ ถ้าเรียนกับเด็กคนตาบอดด้วยกันปัญหาคงจะมีน้อยมากเพราะมีแต่เด็กตาบอด เขาคงไม่เอาความพิการของตัวเองมาล้อเลียนแน่นอน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกมาเรียนร่วมกับคนตาดี ที่มีศักยภาพเหนือกว่าก็คือการมองเห็น จะเดินจะเล่นไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็สะดวกสบายได้ดั่งใจ นี่คือความโชคดีของพวกคุณๆ คนตาดีนะ
เราลองมาดูหนึ่งตัวอย่างของเด็กตาบอดที่ต้องเข้ามาเรียนร่วมกับคนตาดี เรียนมา 6 ปีเขาไม่เคยมีเพื่อน!เราได้แต่นึกในใจว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีเลยจริงๆ หรือ! ใช่เขาตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่าไม่มี
วันแรกที่เข้าไปเรียนก็ถูกกลั่นแกล้ง มีการร้องเพลงล้อเลียนความพิการของเขาอย่างสนุกสนาน วิ่งมาตบหัวเขา รู้สึกจะล้อเล่นกันแรงเกินเด็ก อันนี้เราขอตำหนินะ เป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน ขอเน้นว่าแทบจะทุกวัน สงสัยมั้ยว่าเพลงอะไรที่คนตาดีชอบเอามาร้องล้อเลียนกัน เช่น เพลง วนิภพ ยายสัมอาง ศิลปิน ไม้เท้าขาว ของ คาระบาว คนกับหมา ของพงเทพ เป็นต้น
วันแรกของการไปโรงเรียนสถานที่ก็แปลกใหม่ เพื่อนก็ใหม่หมด แล้วใครพาเดินสำรวจล่ะมีเพื่อนพาเดินไปดู แต่ก็ไม่ได้เต็มใจ รีบๆ ทำหน้าที่แล้วก็จบแค่นั้น มีคนบอกทางก็เหมือนแกล้งกัน ขวาซ้าย ซ้ายขวา อยู่แบบนั้น เราตั้งคำถาม?เมื่อถูกแกล้งทำไมไม่บอกครูล่ะ เขาบอกไม่มีประโยชน์ บอกไปครูก็แค่รับรู้ ส่วนทางบ้านก็บอกให้อยู่เฉยๆ อย่าไปโต้ตอบเดี๋ยวเขาก็หยุดไปเอง ถ้าเขาหยุดก็คงจะดีแต่นี่เขาไม่หยุดน่ะสิแน่นอนตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วล่ะ ก็จะเกิดการปกป้องตัวเองโดยการใช้กำลังและความรุนแรง แน่นอนใครจะทนอยู่นิ่งให้เพื่อนมาตบหัวเล่นทุกวัน ไม้เท้าที่มีไว้ใช้นำทางก็ต้องเอามาป้องกันตัวฟาดไปมาโดนบ้างไม่โดนบ้าง กว่าจะจบการศึกษาเสียไม้เท้าไปก็หลายอัน
มาถึงตรงนี้ คงเริ่มมองเห็นภาพแล้วว่าเราต้องการสื่อถึงอะไร พฤติกรรม อารมณ์ และทัศนคติ จากเด็กเรียบร้อย ใจเย็น ไม่โกรธใครง่ายๆ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และจะมีคำถามเชิงตำหนิว่า?ทำไมเดี๋ยวนี้นิสัยถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ (คือแย่ลงว่างั้น)เราคงต้องย้อนกลับมาดูเขาเจออะไรมาบ้างจะดีกว่า เขาถึงเปลี่ยนไป เขาต้องใช้ความพยายามอดทนมากกว่าคนตาดีหลายเท่าตัวเลยในการเรียนต้องใช้สมาธิในการฟังครูสอนในขณะที่รอบข้างคุยกันเล่นกันรบกวนสมาธิของเขาเป็นอย่างมาก ถ้าครูพูดนั่นก็จะง่ายกับการเรียนเพราะเขาใช้หูฟัง อัดเทป สมัยนั้นยังต้องใช้เทปอยู่และจด แต่ในบางครั้งครูก็คงลืมไปว่าในห้องนี้มีลูกศิษย์ตาบอดอยู่ในห้องเพราะบางวันครูจดในกระดานดำยุ่งเลยล่ะทีนี้ก็ตามองไม่เห็น เหนื่อยแทนเลยจริงๆ
เมื่อผลการเรียนออกมาเป็นที่หนึ่งในห้อง ทีนี้คนตาดีบางคนรับไม่ได้ไม่ยอมรับในความสามารถที่มีในตัวเขา คิดว่าครูช่วย เอ่อ! เขาแค่ตาบอดนะ อย่างอื่นไม่ได้บอดนะ ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจะยอมรับที่ผลงานจริงๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณจะพิการตรงส่วนไหนแต่ถ้าคุณมีความสามารถเขาจะชื่นชมและให้โอกาสนั้นกับคุณทันที นี่คือสิ่งที่บ้านเมืองเราไม่มีเลย ความคิดดีๆ ตรงนี้ ถ้าเราอยากเห็นประเทศของเราพัฒนาจริงๆ เราควรหยุดยั้งความคิดที่ล้าหลังและต้องพัฒนา ให้โอกาสพวกเขาบ้างต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้ ฝากไว้ให้คิดนะ!
มาถึงด้านทัศนคติกันบ้างว่าจะเปลี่ยนไปขนาดไหน! ยกตัวอย่างเรื่องเพลงก็แล้วกันอันนี้ชัดเจนมาก เมื่อได้ยินเพลงที่เคยโดนล้อเลียนมาตั้งแต่เด็กเขาคงโกรธแน่นอนคือมันฝังใจ และเป็นบทเพลงที่เอาความพิการมาร้องกันอย่างไม่สะทบสะท้าน สนุกสนานกันมาก โดยไม่รู้เลยว่า พวกเขารู้สึกเช่นไร (ไม่ว่าจะพิการส่วนไหนก็มิควรนำมาแต่งเป็นเพลง)มันก็ยิ่งทวีความเกลียดชังจนต้องเดินออกจากพื้นที่ตรงนั้น การที่ถูกตอกย้ำบ่อยๆ ภาพเก่าๆ จะผุดขึ้นมา เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก!อันนี้ก็ไม่ว่ากันนะคะ เพราะในช่วงชีวิตแต่ละคนย่อมเจออะไรๆ ที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ตอนเรียนว่าแย่แล้วนะกว่าจะจบการศึกษาก็ทำเอาเกือบท้อกับชีวิต เราข้ามมาถึงตอนทำงานกันเลยมาดูว่าจะราบรื่นขึ้นมาบ้างมั้ย สรุปเพื่อนตาบอดบางคนอาจจะราบรื่น แต่บางคนมีปัญหาหนักกว่าเดิม! คือเดินเข้าไปสมัครงาน คนตาดีเห็นว่าตาบอดเขาก็ปฏิเสธไปก่อนแล้วยังไม่ได้เห็นศักยภาพหรือการแสดงความสามารถเลย เขาก็คิดแล้วว่าเราจะสร้างปัญหาให้กับองค์กร หรือเป็นภาระ ว่างั้น!
อยากให้คนตาบอดทุกคนอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เราอยากให้คนตาดีได้เห็นเหมือนกับที่เราเห็นเราเห็นเพื่อนตาบอดคนแรกของเราเป็นภาพของความประทับใจ ทึ่งในสิ่งที่เราเห็น ไปไหนมาไหนได้ตามใจไม่มีใครเดินตาม แค่มือถือเครื่องเดียว ไม้เท้า 1 อัน และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม อันนี้ชอบมาก
กลับมาเข้าเรื่องต่อ ไม่ว่าจะทำอะไรมีแต่อุปสรรค ยิ่งเขียนยิ่งเจาะลึก ยอมรับผู้เขียนเองจิตใจก็แย่ตามเหมือนกันยิ่งรับรู้ถึงปัญหา และความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ภายในใจของเพื่อนๆ คนตาบอดเขาต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวเพื่อไม่ให้เป็นภาระสังคมและครอบครัวและไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นคน งอมืองอเท้า ไม่มีประโยชน์ นั่งนิ่งๆ เหมือนคนไร้ค่าไปวันๆ นั่งเกะกะขวางหูขวางลูกกะตาแล้วแต่คนตาดีจะสรรหาคำมาตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีก
อาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนตาบอด ในเมืองไทยมีหรือไม่?ใครมีความรู้เสริมได้นะคะ จะได้ส่งต่อความรู้ให้กับเพื่อนได้ แต่เท่าที่ดิฉันทราบมาก็คือ ไม่มี อาชีพสำหรับคนตาบอดมีตัวเลือกน้อยมากนี่ข้อมูลจากเพื่อน เช่น เปิดหมวก (ตามแบบฉบับเมืองไทย) นวด ครู (น้อยมาก)ขายล็อตเตอร์รี่ ฯเมื่อเรียนจบก็ต้องมาคิดต่อว่าจะทำงานอะไรยกตัวอย่างเรียนนวด คนตาดีเรียน 6 เดือน คนตาบอดเรียน 2ถึง 3 ปี(ตามข้อมูล)อันนี้ก็เห็นชัดเจนเอาล่ะเป็นอันเข้าใจตรงกันว่าคนตาบอดต้องเรียนหนักและนานหน่อยเพื่อความชัวร์และความชำนาญ แต่จบแล้วขั้นตอนการขอใบอนุญาติในการประกอบวิชาชีพการนวดกลับซับซ้อน ได้จากสถาบันแล้วต้องกลับมาขอจากหน่วยงานภาครัฐอีก และกว่าจะได้มาก็นานเป็นสองสามปี ฟังแล้วเหนื่อยแทน
นี่คือคำถามจากเพื่อนตาบอด? คุณต้องการอะไร?เขาทำได้ตามที่คุณตั้งโจทย์แล้วพอทำได้ก็ตั้งโจทย์ยากขึ้นไปอีก เพื่ออะไร ใครรู้ก็ชี้แนะได้นะคะ
การที่คนตาบอดคนหนึ่งได้ใช้ศักยภาพในตัวเองที่มีอย่างเต็มที่สมกับที่ได้ร่ำเรียนมาแล้วนำมาใช้ ประกอบสัมมาอาชีพได้จริง ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตาม เราจะไม่ก้าวล่วงวิจารณ์กัน!เราถือว่าเป็นอะไรที่น่ายกย่อง เพราะการที่คุณกล้าที่จะเดินออกมาเผชิญกับโลกภายนอกด้วยตัวเอง เดินอย่างมั่นใจ สง่าผ่าเผย มีบุคลิกภาพที่ดี ลบภาพเก่าๆ มีงานทำสมกับความตั้งใจ สมกับความพากเพียรพยายามที่เรียนมา มีการพัฒนาตัวเอง พึ่งพาคนตาดีให้น้อยที่สุด อย่าให้ตัวเองต้องกลับไปอยู่ภายใต้ระบบเดิมๆ ไปไหนคุณต้องได้ไป อย่าให้คนตาดี เน้นบางคนนะคะ! มาฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบเราคนตาบอดได้อีก นั่นคือคุณจะต้องเรียนรู้ต่อไปมีอะไรใหม่ๆ คุณก็ต้องเรียนรู้
ทำไมนะหรือ ก็เพราะคุณตาบอดไง!ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ได้ก็ต้องพยายามนะ วันนี้เราทำไม่ได้พรุ่งนี้ก็ต้องได้อะไรบ้างล่ะ อย่าท้อนะ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับคนตาบอดนั่นคือคุณต้องเรียนรู้ สิ่งไหนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่ายอมต้องปกป้องสิทธิ์ของตนเองอย่ามองว่าธุระไม่ใช่ หรือคุณพอใจกันแค่นี้จริงๆ หรือ?
การศึกษาไม่เคยทำให้ใครด้อยค่าลง มีแต่จะทำให้ผู้นั้นดูมีค่าขึ้นมากกว่าเดิม โรงเรียนสอนคนตาบอด สอนให้คนตาบอดลุกขึ้นมาสู้เพื่อคุณค่าของตัวเอง อยู่ด้วยตัวเองให้ได้ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนตาดี ถึงไม่เต็ม 100 แต่ก็ดีกว่าอยู่ไปวันๆ อย่าให้ใครดูถูกว่าเราไม่มีคุณค่ากินภาษีสังคม เป็นภาระสังคม และครอบครัว นั่งงอมืองอเท้า ไม่มีประโยชน์ อย่าให้เจตนารมณ์ของผู้ที่ก่อตั้งโรงเรียนคนตาบอดในประเทศไทย(ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ)ด้วยซ้ำไปต้องสูญเปล่า เราอย่าให้คนตาดีมองคนตาบอดในภาพของความน่าสงสารสมเพช เวทนา แต่เราควรให้เขาเห็นถึงศักยภาพที่เรามีต่างหาก
คนตาบอดในปัจจุบันไม่ใช่คนไม่มีความสามารถ เชื่อสิ คุณทำได้และทำได้ดีด้วย!
ขอบคุณ ที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาอ่านบทความนี้ ถ้าเห็นด้วยก็แชร์ออกไปให้เข้าถึงผู้อ่านให้หลากหลายขึ้นนะคะ ขอบคุณอีกครั้ง
ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด
แสดงความคิดเห็น