
การจ้างงานคนพิการในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ ภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรา 33 มาตรา 34 และมาตรา 35 ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้คนพิการมีโอกาสในการทำงานและได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องทางทางเลือกที่หลากหลาย แต่มาตรา 35 ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกัน เนื่องจากหลายหน่วยงานของรัฐและนายจ้างภาคเอกชนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะใช้มาตรา 35 แทนการจ้างงานคนพิการตามมาตรา 33 หรือการส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34
ทั้งนี้มาตรา 35 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะรับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 หรือนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่รับคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และไม่ประสงค์จะส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา 34 หน่วยงานของรัฐ นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น อาจให้สัมปทานจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดในระเบียบ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
แม้มาตรา 35 จะมีเจตนารมณ์เพื่อเปิดโอกาสให้มีความยืดหยุ่นในการช่วยเหลือคนพิการ แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดปัญหาหลักดังนี้
1. เบี่ยงเบนจากการจ้างงานที่แท้จริง
เว็บไซต์ thisAble.me รายงานว่า หลายหน่วยงานเลือกจ้างคนพิการตามมาตรา 35 ในลักษณะของการทำงานประจำ กล่าวคือ มีเวลาเข้าออกงาน มีหัวหน้างาน รวมทั้งมีระบบประเมินผลการทำงานคล้ายพนักงานประจำ หากแต่การดำเนินการตามมาตรา 35 ไม่ใช่การจ้างแรงงานอย่างแท้จริง คนพิการจำนวนมากจึงไม่ได้เข้าสู่ระบบการทำงานปกติ ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าจ้าง ประกันสังคม หรือการพัฒนาทักษะในสถานประกอบการ แม้ว่าภาระงานดังกล่าวจะเทียบเท่าการทำงานของคนไม่พิการก็ตาม
2. ถูกใช้เป็นช่องทางเลี่ยงภาระตามกฎหมาย
บริษัทหรือหน่วยงานรัฐจำนวนมากเลือกใช้มาตรา 35 แทนมาตรา 33 เนื่องจากเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ "ง่ายกว่า" และ "ไม่กระทบต่อโครงสร้างแรงงาน" ขององค์กร ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้คนพิการมีงานทำจริง
3. การรณรงค์สนับสนุนมาตรา 35 เกินสมควร
พบว่าบางองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการกลับรณรงค์ให้ใช้มาตรา 35 เป็นหลัก ทั้งที่ในความเป็นจริงควรสนับสนุนให้คนพิการมีโอกาสเข้าสู่ตลาดแรงงานในลักษณะพนักงานหรือลูกจ้างตามปกติ
4. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนพิการ
การช่วยเหลือภายใต้มาตรา 35 แม้จะมีประโยชน์ในเชิงการสงเคราะห์ แต่ไม่ได้สร้างความมั่นคงในการดำรงชีพเช่นเดียวกับการมีงานทำจริง ส่งผลให้คนพิการยังคงถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม
กล่าวโดยสรุป
มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีเจตนารมณ์เพื่อเปิดทางเลือกในการช่วยเหลือคนพิการ แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกใช้เป็นกลไกในการเลี่ยงการจ้างงานตามมาตรา 33 ส่งผลให้เป้าหมายของกฎหมายในการให้คนพิการมีงานทำจริงและได้รับสิทธิแรงงานตามกฎหมายยังไม่สัมฤทธิ์ผล
ดังนั้น แนวทางในการแก้ไขปัญหาคือควรส่งเสริมให้มาตรา 33 เป็นมาตรการหลักในการจ้างงานคนพิการ ขณะที่การใช้มาตรา 35 ควรถูกจำกัดให้ใช้ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควรและต้องมีกลไกตรวจสอบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิแรงงานของคนพิการบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ขอให้องค์กรที่ทำงานด้านคนพิการได้ร่วมกันผลักดันและแก้ไขกลไกของมาตรา 35 เพื่อให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และไม่เปิดช่องให้นายจ้างเอารัดเอาเปรียบคนพิการ อันจะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการอย่างแท้จริง
ที่มาภาพ
ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด
แสดงความคิดเห็น