ในโมงยามที่พายุแห่งศรัทธากำลังโหมกระหน่ำ ภาพลักษณ์ของผ้ากาสาวพัสตร์ที่เคยเป็นดั่งธงชัยแห่งความสงบร่มเย็น กลับถูกฉีกทึ้งด้วยข่าวคราวอันน่าเศร้าและภาพที่ร้าวฉาน จนเสียงตัดพ้อที่ก้องกังวานในใจชาวพุทธจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย: "เราขอทำบุญกับหมาแมวจรจัดที่หิวโหย หรือคนยากไร้ที่สิ้นหวัง ยังจะดีเสียกว่า" ... เสียงนั้นไม่ใช่เสียงแห่งการสิ้นศรัทธาในพระธรรม แต่เป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดที่ปรารถนาจะนำปัจจัยของตนไปสู่ "เนื้อนาบุญ" ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความปรารถนาดีที่น่าอนุโมทนา
...
แต่ทว่า...ชีวิตที่บริบูรณ์จะถักทอขึ้นจากเส้นใยเพียงสายเดียวได้หรือ? การสร้างความสมบูรณ์พร้อมแห่งจิตวิญญาณให้ยิ่งใหญ่และมั่นคง จะเกิดขึ้นได้หรือหากเราเลือกที่จะสร้างเพียงเสาบางต้นที่เห็นว่าสวยงาม แล้วละเลยเสาหลักที่ค้ำจุนโครงสร้างทั้งหมด?
...
การยื่นมือโอบอุ้มสรรพสัตว์ที่ทุกข์ยากด้วยความกรุณานั้น คือการสร้าง "หัวใจ" ให้กายแห่งบุญของเราให้ยิ่งใหญ่ อบอุ่น, การแบ่งปันอาหารและปัจจัยแก่ผู้ขัดสน คือการทอ "ผิวหนัง" อันเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้ชีวิตและเป็นภาพสะท้อนสุขภาพของสังคม, การปรนนิบัติดูแลบิดามารดาผู้ให้กำเนิด คือการรักษา "ลมหายใจ" แห่งชีวิตให้ศักดิ์สิทธิ์, การเคารพและเชิดชูครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา คือการบำรุง "สมอง" แห่งปัญญาให้เฉียบคม, การสงเคราะห์ญาติมิตรและดูแลบริวารด้วยความเป็นธรรม ก็เปรียบดั่งการทำให้ "ระบบเลือด" แห่งสายใยความสัมพันธ์ไหลเวียนหล่อเลี้ยงกายนี้ให้สมบูรณ์แข็งแรง... ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้
...
แต่ "กาย" ที่สมบูรณ์พร้อมทั้งหัวใจ ผิวหนัง ลมหายใจ สมอง และระบบเลือดนี้ จะเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างไร หากปราศจาก "ดวงตา" ที่มองเห็นแสงแห่งธรรม? การทำบุญกับคณะสงฆ์โดยรวมนั้น มิใช่การทำบุญกับ "บุคคล" แต่คือการทำนุบำรุง "พุทธศาสนา" ที่ทำหน้าที่เป็นดวงตาชี้นำทางพ้นทุกข์ให้แก่สังคมมานับสองพันกว่าปี เราต้องทำบุญด้วยปัญญาที่ลึกซึ้งกว่าเดิม นั่นคือการแยกแยะระหว่าง "ภาชนะ" และ "สิ่งที่บรรจุ" แม้วันนี้ภาชนะดินบางใบอาจบิ่น แตก หรือเปรอะเปื้อน แต่ "น้ำอมฤตแห่งพระธรรมวินัย" ที่เคยบรรจุอยู่ยังคงคุณค่าไม่เสื่อมคลาย
...
เจตนาของเราในการถวายทานนั้น มิใช่การบูชา "นาย ก." หรือ "พระ ข." แต่เรากำลังบูชา "หลักการแห่งการสละออก" ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับความตระหนี่ในใจตน เรากำลังค้ำจุนหลักการที่ว่า "ยังคงต้องมีผู้เสียสละออกจากเรือนเพื่อศึกษาและสืบทอดคำสอน" ให้ดำรงอยู่ต่อไป ส่วนพระรูปใดรับปัจจัยไปแล้วจะประพฤติตนเช่นไร นั่นคือ "วิบากกรรมส่วนตน" ของท่านที่จะต้องรับผิดชอบเอง ความด่างพร้อยของภาชนะ ไม่ได้ทำให้น้ำที่เจือจานนั้นสกปรก หากเจตนาของผู้ให้ยังคงใสสะอาด
...
บุญนั้นย่อมสำเร็จสมบูรณ์พร้อมที่ใจเราในทันที ความสุขและความปีติที่เกิดขึ้นจากการสละออกนั้นเป็นของเราโดยแท้จริง ดังนั้น อย่าปล่อยให้ความผิดหวังในตัวบุคคล มาทำลายโครงสร้าง "กายแห่งบุญ" ทั้งหมดของเราเลย แต่จงใช้ปัญญาเป็นเครื่องคัดกรอง เลือกถวายกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่าที่โอกาสจะอำนวย และเมื่อจำเป็นต้องถวายกับหมู่สงฆ์โดยไม่เจาะจง ก็จงยกจิตให้สูงขึ้น วางใจให้เป็นกลาง วางเป้าหมายไว้ที่การสืบทอดพระศาสนา แล้วท่านจะพบว่า การสร้างบุญให้บริบูรณ์พร้อมทุกส่วน คือการสร้าง "ปราการแห่งบุญ" ที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่ชีวิตตนเอง เป็นความสุขภายในที่พายุภายนอกมิอาจทำลายลงได้
...
จากบทสนทนาทางปัญญา สู่บทความที่กลั่นกรองขึ้นเพื่อจรรโลงใจในยุคสมัยแห่งความท้าทาย
...
เรียบเรียงและรจนาโดย: ยอด007
...
ร่วมตกผลึกความคิดโดย: Gemini


แสดงความคิดเห็น