คุณอยู่ที่

สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคนตาบอดอาจสะเทือนใจ แต่ที่จริงแล้วอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิด

ปรับขนาดตัวอักษร

-A A +A
รูปภาพของ suriyan
เขียนโดย suriyan เมื่อ อาทิตย์, 03/27/2022 - 10:55

หลายครั้ง ที่คนตาดีมักเข้าใจไปว่า หากพูดแบบนั้นแบบนี้ หากทำแบบนั้นแบบนี้ แล้วคนตาบอดอาจจะรู้สึกแย่ หรือรู้สึกไม่ดี กระทั่งอาจสะเทือนใจไปเลย ซึ่งเมื่อคนตาดีบางคนพบเห็นคนรอบข้างมีพฤติกรรมดังกล่าว ก็จะพยายามเอ่ยห้าม หรือดุด่าบุคคลนั้นๆ ไม่ให้แสดงออกถึงพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเกรงว่าคนตาบอดอาจจะคิดมาก และส่งผลต่อสภาพจิตใจ

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าหนักหนาในความรู้สึกคนตาบอดนั้น คนตาบอดเองอาจไม่ได้คิดอะไรมาก หรือต่อให้มีผลกระทบจริงๆ ก็มีน้อยมากจนไม่น่ากังวลอย่างที่คิด

วันนี้ Blind living จะขอมายกตัวอย่างเหตุการณ์หรือพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อให้คนทั่วไปทราบว่า เมื่อเราจะคุยกับคนตาบอด เราควรจะมีพฤติกรรมอย่างไร อะไรที่พอพูดได้ หรืออะไรที่ไม่เหมาะที่จะพูดกันครับ ซึ่งทาง Blind living ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่คนตาบอดทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลาและสาเหตุแห่งความพิการดังกล่าวด้วยครับ ที่จะทำให้คนตาบอดแต่ละคนมีความรู้สึกนึกคิดแตกต่างกันออกไป

ถามว่าทำไมถึงตาบอด?

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจไปว่า การสอบถามคนตาบอดว่า “ทำไมถึงตาบอด?” เป็นเรื่องที่ไม่ควรถาม เพราะอาจกระทบจิตใจคนตาบอดและดูเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว การสอบถามอะไรในลักษณะนี้ คนทั่วไปสามารถที่จะถามคนตาบอดได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร เพราะคนตาบอด (ส่วนใหญ่) ยิ่งโดยเฉพาะคนที่พิการมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะในบรรดาเพื่อนๆ คนตาบอดด้วยกัน ก็ถามเรื่องนี้เป็นเรื่องทั่วๆ ไป ดังนั้นต่อให้เล่าสาเหตุความพิการออกไป ก็จะมองเป็นแค่การตอบคำถามธรรมดา

ทั้งนี้ก็ยังมีกรณียกเว้นอยู่บ้าง เช่นสาเหตุแห่งความพิการนั้น เกิดจากเรื่องสะเทือนใจบางอย่างที่คนตาบอดไม่อยากนึกถึง หรือคนตาบอดคนนั้นเพิ่งมาพิการภายหลังและยังยอมรับตนเองไม่ได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น การสอบถามอะไรแบบนี้ ก็ยังเป็นเรื่องที่พอถามได้ กลับกันถ้ามีอีกคนถามและมีอีกคนมาห้าม นั่นอาจจะทำให้คนตาบอดกระอักกระอ่วนใจมากกว่าก็ได้ เพราะคนตาบอดจะมองว่า คนอื่นๆ มองคนตาบอดเป็นคนคิดมากและเข้าถึงยาก หรือบางคนอาจจะคิดว่า การทำแบบนี้ ทำให้เขาออกห่างจากคนไม่พิการเข้าไปอีก

มีเด็กเล็กๆ มาถามว่าทำไมมองไม่เห็น? หรือนี่กี่นิ้ว?

เคยเห็นบ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ดีๆ ก็มีเด็กเล็กๆ ทั้งเป็นญาติของคนตาบอดและไม่ใช่เดินเข้ามาถามว่า “ทำไมพี่มองไม่เห็น?” หรือ “นี่กี่นิ้ว? นิ้วอะไร?” ซึ่งพอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น บรรดาเหล่าผู้ปกครองก็จะเร่งดุด่า หรือห้ามไม่ให้ถาม หรือบางคนถึงขั้นต่อว่าเด็กๆ เหล่านั้นอย่างรุนแรง

อันที่จริงแล้วคนตาบอดเข้าใจถึงสถานการณ์ดังกล่าว และไม่ได้คิดมากอะไร เพราะมองว่าเด็กก็คือเด็ก การที่พวกเขาสงสัยไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะเมื่อเด็กเกิดความอยากรู้และสงสัย ทางออกของเขาก็คือการถาม และคนตาบอดเองก็พร้อมที่จะให้คำตอบ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะขำขันหรือให้ความรู้ก็ตาม ยิ่งเราไปห้ามเด็กๆ ไม่ให้แสดงออกแบบนั้น เด็กๆ ยิ่งจะเกิดความสงสัยแล้วเก็บไว้ในใจ จนในที่สุดจะไม่กล้าเข้าใกล้คนตาบอดอีกต่อไป และจะเป็นการสร้างระยะห่างโดยที่เด็กเหล่านั้นก็ไม่รู้ตัว จนติดตัวไปกระทั่งถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการผลักคนตาบอดให้ห่างไกลจากสังคมออกไปเรื่อยๆ โดยที่คนกระทำเองก็ไม่ทันคิดหรือรู้ตัวด้วยซ้ำ

ไม่อยากให้คนตาบอดช่วยงานเพราะมองว่าลำบาก

หลายครอบครัวหรือหลายสังคมที่เมื่อเห็นคนตาบอดทำอะไรแล้วจะรีบห้าม เพราะมองว่า ในเมื่อตาบอดอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะกลัวคนตาบอดลำบาก เพราะแค่เกิดมาตาบอดก็ลำบากอยู่แล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้คนตาดีเขาทำไป

การกระทำเช่นนี้ คนพูดหรือคนห้ามอาจจะทำออกไปด้วยความหวังดีและเห็นใจ แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งทำแบบนี้มากแค่ไหน ก็เหมือนกับเป็นการลดทอนคุณค่าของคนตาบอดลงไป ทำให้คนตาบอดรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า อยากจะช่วยทำอันนั้นก็ไม่ได้ ช่วยทำอันนี้ก็ไม่ได้ วันๆ ไม่ได้ทำอะไร ชีวิตก็น่าเบื่อ พลอยทำให้ความภาคภูมิใจและสภาพจิตใจแย่ลงไปตามเวลา เพราะในสายตาคนอื่นๆ ตัวเองดูเหมือนเป็นคนทำอะไรไม่เป็น

ที่จริงแล้วคนตาบอดทำอะไรได้หลายอย่างเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคิดได้เสียอีก หรือต่อให้ทำไม่ได้ในทีแรก ก็ยังสามารถฝึกฝนได้ คนตาอดทำไม่ได้ทุกอย่างก็จริง แต่ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คนตาบอดทำได้ ดังนั้นเมื่อเห็นคนตาบอดอยากช่วยงานหรือลองทำอะไรอย่าเพิ่งห้ามหรือบอกให้หยุด แต่ให้คอยดู คอยแนะนำอยู่ข้างๆ จะดีกว่า ถ้าคนตาบอดเขาทำไม่ได้จริงๆ หรือรู้สึกไม่ไหวเข้าจริงๆ เขาจะยอมรับและหยุดไปหาอะไรอย่างอื่นทำเอง

บางอย่างอะไรที่ดูควรหรือไม่ควรก็เป็นเพียงกรอบแนวคิดที่คนทั่วไปในสังคมจินตนาการกันขึ้นมาเอง ที่จริงแล้วคนตาบอดเข้าถึงง่ายกว่าที่หลายคนคิด เพราะคนตาบอดเองก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นอย่ามัวแต่ไปยึดติดกับความเชื่อเก่าๆ หรือเพียงฟังประโยค “เขาว่ามา” แต่อยากให้ลองทำความเข้าใจคนตาบอดด้วยตัวของเราเอง และถึงตอนนั้นเราจะพบว่า คนตาบอดไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป และเข้าถึงง่ายกว่าที่คิดมากนัก


ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด

ให้ดาวบทความนี้: 
Average: 4.3 (4 votes)

แสดงความคิดเห็น