สวัสดีค่ะ หนูชื่อ เซ้น นะคะ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ค่ะ พอดีมีวิชาที่ต้องทำเกี่ยวกับนวัตกรรมค่ะ แล้วหนูสนใจเกี่ยวกับการทำอาหารของผู้พิการทางสายตาค่ะ ว่าวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ทำแบบไหนคะ แล้วรู้สึกว่ามันลำบากมั้ยย เช่น ตอนทำรู้ได้ยังไงคะว่าอาหารสุกแล้ว หรือวัตถุดิบที่ได้มานั้นสดใหม่มั้ย มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือนวัตกรรมไหนมั้ยคะะที่มีแล้วคิดว่าจะช่วยได้มาก สุดท้ายเเล้วคือทำอาหารกินเองกันบ่อยมั้ยคะหรือส่วนใหญ่ซื้อมามากกว่า
ขอรบกวนเวลามาตอบคำถามซักหน่อยนะคะ เพื่อจะได้นำไปคิดหาแนวทางการแก้ปัญหา พอตอบเสร็จแล้วจะมาคุยเล่นกันก็ได้ค่ะ หรืออยากแชร์ปัญหาอื่นๆที่เจอในการใช้ชีวิตก็ได้นะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าที่ให้ความร่วมมือค่ะ ขอบคุณจริงๆ!!! :D
ถ้าตอบโดยส่วนตัวเลย คือเป็นคนที่ทำอาหารแทบไม่เป็นเลยครับ หลักๆ คือซื้อเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่เคยทำก็จะมีหุงข้าวกินเอง อันนี้ก็อาศัยกะปริมาณน้ำเอา เช่นต้องใส่น้ำให้ท่วมหลังมือ ตักข้าวกี่แก้ว กินได้ประมาณกี่คนอะไรแบบนี้ครับ ที่เหลือก็รอม่อหุงข้าวไฟฟ้าดีดเตือนว่าข้าวสุกแล้ว
อย่างที่ 2 ก็ทำไข่ต้ม อันนี้ผมเคยทำ 2 วิธีคือ
1. วางไข่ประมาณฟองถึง 2 ฟองลงในถ้วย ต่อมาก็กดน้ำร้อนจากกาที่เตรียมเอาไว้ลงไปในถ้วย แล้วหาจานมาปิดฝาครับ จากนั้นก็รอสัก 10 นาที แล้วนำออกมากินกับข้าวได้เลย ที่ทำสูตรนี้ไม่ใช่อะไร ใช้เตาแก๊สไม่เป็นครับ 555
2. อันนี้ก็ง่ายๆ ครับ ถ้าวันไหนจะกินเมนูไข่ต้ม ก็โยนลงไปในม่อหุงข้าวในตอนที่หุงข้าวเลย ข้าวสุก ไข่ก็สุกครับ
ประเด็นต่อมาคือ ฟังจากเพื่อนตาบอดด้วยกันที่ทำอาหารเป็นครับ ถูกไม่ถูกยังไง เดี๋ยวค่อยให้คนอื่นมาเสริมเอาละกันครับ
เพื่อนเขายกตัวอย่างเช่นการทอดไข่ ถ้าอยากรู้ว่าไข่สุกไม่สุก ให้ลองใช้ตะหลิวเคาะๆ ดูครับ ถ้าไข่สุกแล้ว จะให้สัมผัสนุ่มๆ ซึ่งวัตถุดิบหลายอย่างก็จะคล้ายๆ กัน
หรือบางเมนูก็ต้องอาศัยดมกลิ่น การสัมผัสด้วยตะหลิว หรือเรื่องระยะเวลามารวมกัน ถึงจะรู้ว่าสุกพอจะกินได้หรือยัง
เมนูที่เคยเห็นเพื่อนตาบอดทำมีเยอะเลยครับ (แต่ผมไม่รู้นะ ว่าเขากะอะไรยังไง ถึงรู้ว่าสุขพร้อมกินแล้ว แต่ที่เคยกินคืออร่อย 55) ก็คือ ผัดกระเพา หมูทอด ย่างหมู ยำปลากระป๋อง ลวกหมู ผัดผัก ต้มจืด ฯลฯ มีเยอะมากครับ ไล่ไม่หมด
สำหรับผม ถ้าได้พวกอุปกรณ์ที่แจ้งเตือนว่าอาหารสุกแล้วหรือยัง โดยวัดจากสีของอาหารหรืออื่นๆ เมื่อสีดูแล้วว่าสุกแน่ๆ ให้บอก ก็จะช่วยได้เยอะครับ AI ทุกววันนี้ฉลาดขึ้นเยอะ การวัดจากภาพว่าอาหารที่อยู่ในกระทะอยู่ในเลเวลไหน ยังไม่สุก ใกล้จะสุก สุขแล้ว ไหม้แล้ว (อันนี้คงเดาได้จากกลิ่น) ทำได้นี่แจ๋วเลยครับผม
คำตอบยาวนิดหนึ่งครับ 55
ถ้าจะพูดถึงการทำกับข้าวสำหรับคนตาบอด — ตอนนี้มีอุปกรณ์หลายอย่างที่อำนวยความสะดวกให้เราได้เยอะเลยครับ อย่างเช่น กระทะแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีเสียงพูดเป็นภาษาไทย แจ้งเตือน อุณหภูมิ ปรับโหมด ปิ้ง-ย่าง-ทอด-ผัด-ต้ม แล้วตั้งเวลาเปิดปิดได้ เรียกว่าช่วยให้คนตาบอดอย่างเรา ทำกับข้าวเองได้ง่ายขึ้นมาก
ส่วนการหุงข้าว หุงข้าวเหนียว นึ่งข้าว ก็ไม่ต่างจากคนตาดีเลย เพราะมีหม้อไฟฟ้า หม้อนึ่งข้าวเหนียวไฟฟ้า ที่ใช้งานง่าย คนตาบอดก็สามารถใช้งานได้เอง ถ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น เช่น ไมโครเวฟ หรือหม้ออบลมร้อน — ถ้ามีปุ่มกดให้ใช้สัมผัสได้ ก็พอใช้ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกรุ่นที่เป็นหน้าจอสัมผัส เพราะอาจใช้งานยาก
ตอนปรุงอาหาร ถ้าน้องสงสัยว่าอาหารสุกหรือยัง วิธีของแต่ละคนอาจต่างกัน — บางคนจับเวลาดู บางคนดูจากกลิ่น หรืออาจใช้ช้อนเคาะดูความสุก หรือใช้สัมผัสในการประเมิน และเรื่องปริมาณเครื่องปรุง บางคนอาจใช้ช้อนตวง บางคนก็ “กะเอา” ตามความถนัดของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว ก่อนเสิร์ฟก็มักชิมก่อน — เพื่อให้รสชาติกำลังดี
จริงๆ แล้วการทำกับข้าวสำหรับคนตาบอดไม่มี “สูตรตายตัว” นะ อยู่ที่เราฝึกและใช้บ่อยๆ จนเกิดความชำนาญเอง ถ้าฝึกบ่อย ก็จะทำได้คล่องและอร่อย
แต่ก็มีหลายคนเลือกสั่งอาหารสำเร็จรูปเพื่อความสะดวก ส่วนคนที่อยากทำเองก็ทำได้สบายมาก ถ้าเรามีอุปกรณ์ที่ช่วย และมี “ทักษะ” ที่เหมาะ
ถ้าน้องคนไหนสนใจเรื่องการฝึกใช้ชีวิต — ทั้งทำกับข้าว ใช้ชีวิตประจำวัน เดินทาง ฯลฯ ทาง “สถาบันส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ก็มีหลักสูตรทักษะชีวิตให้ เรียนรู้และฝึกได้ ถ้าอยากทราบรายละเอียด ลองแวะสอบถามหรือกดติดตามเพจของสถาบันดูนะครับ
สำหรับคำถามที่ถามมาว่าคนตาบอดหรือผู้พิการทางด้านสายตาสามารถทำอาหารได้หรือไม่นั้น ตอบได้เลยค่ะว่าสามารถทำได้ ซึ่งทั้งนี้ก็เกิดจากทักษะการฝึกฝนของแต่ละคนค่ะและเกิดจากปัจจัยในการใช้ชีวิตของแต่ละคน
บางคนก็สะดวกที่จะซื้อรับประทานเอามากกว่า แต่บางคนก็เลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายโดยการทำกับข้าวเอง
โดยการเริ่มฝึกในขั้นพื้นฐานก็จะเริ่มจากอาหารง่ายๆ เช่นต้มไข่ต้ม มาม่า
วิธีสังเกตความสุกคือ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ค่ะเช่นมาม่าเมื่อถูกน้ำร้อนจะสังเกตได้ว่าเส้นจะมีการอ่อนตัวและพองตัวขึ้นในน้ำ เมื่อสุกแล้ว
ส่วนไข่ต้ม ให้สังเกตจากน้ำหนักของไข่ค่ะ เพราะไข่ต้มที่ยังไม่สุกจะมีน้ำหนักเบา แต่ไข่ต้มที่เริ่มสุกแล้วจะมีน้ำหนักมากขึ้น และจะจมลงไปในน้ำไม่ลอยตัว ซึ่งหากท่านไหนสังเกตไม่ถนัดก็สามารถใช้วิธีการจับเวลาได้ค่ะ
7 นาทีคือไข่ต้มแบบสุกเต็มที่
5 นาทีคือไข่ต้มยางมะตูม
3 นาทีคือไข่ลวกค่ะ
ซึ่งวิธีการสังเกตระดับความสุขของอาหารก็ขึ้นอยู่กับเมนูอาหารนั้นๆ ด้วย เช่นประเภททอดถ้าเป็นปลาจะสังเกตว่าผิวหนังของปลาจะมีความขรุขระ และเมื่อกดตะหลิวลงไปจะมีเสียงกรอบแกรบค่ะ
ทอดหมูก็เช่นกันค่ะ จะสังเกตว่าหมูจะมีความแข็งตัว ซึ่งต่างจากเนื้อหมูดิบที่มีความนุ่ม และหยุ่นนิดนิดและสังเกตุได้จากกลิ่นของไขมันที่ละลายออกมาจากเนื้อหมูค่ะ จะเริ่มมีกลิ่นหอมจากกระทะ
โดยการทอดให้ใช้วิธีพริกกลับไปกลับมาจนรู้สึกว่าผิวขรุขระเสมอกันทั้งสองด้าน และเมื่อลองใช้ตะหลิวกดลงไปแล้วรู้สึกว่า เนื้อหมูขาดออกจากกัน หากยังไม่แน่ใจให้ลองใช้ซ่อมจิ้มชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาแล้วลองใช้มือสัมผัสดูค่ะ แต่ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังนะคะ
ถ้าเป็นไข่ปกติ เมื่อตอกไข่ออกมาไข่จะมีลักษณะเป็นเมือก เมื่อเทลงไปในกระทะควรตั้งน้ำมันให้ร้อนก่อนค่ะ
จากนั้นวิธีสังเกตคือ ไข่ที่เทลงไปจะเริ่มมีการเซ็ตตัวซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่เทคนิคการเจียวของแต่ละคนเลยนะคะว่าจะทำให้ออกมาเป็นรูปทรงแบบไหน แต่ถ้าคนที่เชี่ยวชาญก็สามารถกลับไข่ได้ค่ะโดยต้องรอให้ไข่เซตตัวประมาณนึงก่อน จากนั้นเมื่อได้กลิ่นหอมๆ เกรียมๆ ของไข่แล้วก็พลิกอีกด้านหนึ่งให้มีความกรอบเกรียมเสมอกันค่ะ เมื่อรู้สึกว่าไข่เซตตัวและสามารถจิ้มลงไปทะลุถึงด้านล่างได้ก็อนุมานได้ว่าสุขค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ต้องกะน้ำมันและการเร่งไฟเบาไฟของแก๊สด้วยนะคะเพราะมีผลต่อความกรุบกรอบของไข่เจียวค่ะ ถ้าไม่ต้องการไข่เจียวกรอบก็ใส่น้ำลงไปนิดนิด แต่ถ้าอยากให้ไข่ฟูกรอบแนะนำให้บีบมะนาวใสลงไปนิดนึงค่ะ 
ทีนี้เราก็จะมาพูดถึงวิธีการดูความสุขของประเภทผักกันบ้างนะคะ
ผักส่วนใหญ่จะมีลักษณะไม่เหมือนกัน บางชนิดอย่างเช่นมะเขือแตงกวา เมื่อสุกแล้วจะอ่อนตัวลงค่ะ ส่วนประเภทพวกผักบุ้ง ผักกาดขาวก็สังเกตได้ง่ายๆ เช่นกัน นั่นก็คือผักจะมีลักษณะนิ่มขึ้น ผักทุกประเภทเมื่อถูกความร้อนก็จะนิ่มขึ้นเช่นเดียวกันนะคะ อันนี้สังเกตได้ง่ายๆ ค่ะ ซึ่งทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการหั่นของแต่ละคนด้วยนะคะ
ถ้าอยากให้ผักสุกง่ายสุกเร็ว ก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ค่ะ ผักคะน้าถ้าหากอยากให้มีความอ่อนและกินง่ายแนะนำให้ปอกเปลือกออกก่อน จากนั้นค่อยสไลด์เป็นชิ้นๆ นะคะ โดยการใช้มีดปอกเป็นชิ้นบางๆ ค่ะ ผักบุ้งและถั่วฝักยาวก็เช่นเดียวกันค่ะ ให้หั่นเป็นท่อนท่อนแต่ไม่ยาวมากนัก มะเขือเปราะและมะเขือยาวให้หั่นเป็นซี่ จากนั้นนำไปแช่น้ำเกลือก่อนแล้วนำไปล้างน้ำออก จากนั้นค่อยนำมาผัดจะทำให้เนื้อมะเขือไม่ช้ำและมีความอ่อนตัวมากค่ะ
เอาไว้ถ้าคิดออก จะมาเรียบเรียงให้อ่านใหม่นะคะ
คนตาบอดอย่างผม ไม่เคยคิดที่จะทำอาหารเลยหละ ซื้อเอาดีกว่า นั่นเป็นความคิดเมื่อสามปีที่แล้ว
แต่หลังจากนั้นเกิดเหตที่ผมต้องหันมาดูแลตัวเอง ผมหาอุปกรณ์ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ตัวเอง เช่นเตาพูดได้ เวลากดปิดหรือเปิดเขาก็จะบอก เลือกเช่นเมนูนึ่ง ผัดทอด กดสำผัษลงไปเขาก็จะพูดโดยเขามีความร้อนที่เหมาะกับการผัดทอดและอื่นๆมีมาให้แล้ว และเตาไมโครเวฟ ที่มีเสียงเตือนที่ชัดเจนว่ากดมาความร้อนเท่านี้ เสียงจะดังเตือนแบบไหน ปิดหรือเปิดเครื่อง จะมีเสียงเตือนยังไง
ส่วนหม้อหุงข้าวก์เลือกที่มีโปรแกรมสำเร็จ เช่นโปรแกรมหุงข้าวกล้อง และอื่นๆตามที่ผมจะหามาดูแลตัวเองได้มากถึงมากที่สุด แต่ถ้าอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นปุ่มสำพัษนั้นผมจะเอาอะไรก็ได้ที่ไปแปะให้รู้ว่าด้านล่าง/บนจะมีปุ่มที่ต้องสำผัษ เช่น ปุ่มหุงปกติ หรือปุ่มนึ่ง หรืออุ่น ถ้าปุ่มดั่งกล่าว มีคำสั่งที่ซับซ้อน เช่นกดสำผัษสองครั้ง จะกลายเป็นตุ๋น ผมก็ต้องจดไว้แล้วมาอ่าน
ผมกินได้แค่แกงตุ๋นนึ่ง และผัดทอดได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่โดยมากก็แกงต้มนึ่งตุ๋นนั่นแหละหะหะ
จากประสปการที่ทำอาหารมา รับรู้ทางกลิ่น และเสียงน้ำเดือด และการสำผัษ บางทีต้องหาอะไรไปจิ้มๆดูว่าได้ที่แล้วหรือยัง ลิ้นแตะน้ำมาชิม จากช้อนหรือทับพี ส่วนรดชาดก็ตามใจฉันเลยจ้า
คำพูดของเพื่อนที่กระตุ้นให้ผมได้มีชีวิตอยู่ยังดังก้องอยู่ในหูว่าอย่ากลัวการทำอาหารคือ " สิ่งใดๆก็ตามที่มันลงไปในหม้อมันสุกหมดแหละเมื่อมันได้ที่แล้ว
แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ก็จากการกะระยะเวลา ละสูดดมกลิ่น และการจดๆจิ้มๆ ดูซดๆชิมๆ แค่นี้ก็มีชีวิตได้อีกยาวหลายปี นี่ก็เข้าปีที่สามแล้วน๊ะจ๊ะ
แสดงความคิดเห็น